- บริการจัดส่งพนักงานดูแลผู้สูงอายุ เฝ้าไข้
- บริการจัดส่งพนักงานแม่บ้านทำความสะอาด
- บริการจัดส่งพนักงานดูแลเด็กเล็ก , เด็กโต
บริการจัดส่งพนักงานดูแลผู้สูงอายุ แม่บ้านทำความสะอาด
เว็บไซต์จัดทำขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างการให้บริการในธุรกิจแม่บ้าน พี่เลี้ยงเด็ก และดูแลผู้สูงอายุ ไม่มีการดำเนินการจริงแต่อย่างใด ข้อความ และรูปภาพต่างๆ นำมาจากใน internet และได้อ้างอิงถึงเนื้อหาไว้เรียบร้อยแล้ว และขอบคุณสำหรับรูปภาพ และเนื้อหาบทความต่างๆ
ทีมงาน และบรรยากาศ
รีวิวลูกค้าจริง K-MAIDSERVICES
ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่รีวิวให้ ทางเราจะพัฒนาการให้บริการดียิ่งขึ้นค่ะ
ดูแลอย่างใกล้ชิด บริการด้วยหัวใจ จากผู้เชี่ยวชาญใกล้บ้านคุณ
เว็บไซต์จัดทำขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างการให้บริการในธุรกิจแม่บ้าน พี่เลี้ยงเด็ก และดูแลผู้สูงอายุ ไม่มีการดำเนินการจริงแต่อย่างใด ข้อความ และรูปภาพต่างๆ นำมาจากใน internet และได้อ้างอิงถึงเนื้อหาไว้เรียบร้อยแล้ว และขอบคุณสำหรับรูปภาพ และเนื้อหาบทความต่างๆ
-
8 เคล็ดลับการจัดบ้านให้พร้อมต่อการดูแลผู้ป่วย...
-
ผู้สูงอายุกับเบาหวาน ดูแลอย่างไรห่างไกลโรค
-
เลี้ยงลูกอย่างไรในวันที่โลกที่เปลี่ยนไป แนวคิ...
-
5 เทคนิคเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับบ้าน
-
12 สีที่ใช้ตกแต่งภายในได้อย่างดีเยี่ยม สวยงาม
-
6 วิธีรักษาพื้นไม้เนื้อแข็ง ทำอย่างไรให้คงทน
8 เคล็ดลับการจัดบ้านให้พร้อมต่อการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์
การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ครอบครัวจะต้องให้ความรักและความใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะอาการของผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมนั้น นอกจากจะมีอาการความจำเสื่อมแล้ว ผู้ป่วยยังมีปัญหาในด้านการสื่อสาร การถ่ายทอดอารมณ์ และการดูแลตัวเองในการประกอบกิจวัตรประจำวัน บางรายหากมีอาการหนักอาจถึงขั้นที่กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถขยับเคลื่อนย้ายร่างกายไปไหนเองได้เลย ดังนั้นการเตรียมความพร้อมภายในบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ บทความนี้เราจะมาแนะนำ 8 เคล็ดลับการจัดบ้านให้พร้อมต่อการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ จะมีเคล็ดลับอะไรบ้างนั้นมาเรียนรู้ไปพร้อมกันเลย
อ้างอิงเนื้อหาจาก
https://www.aryuwatnursinghome.com/healthy-tips/8-เคล็ดลับการจัดบ้านให้พ/
4 ก.ค. 2566
อ้างอิงเนื้อหาจาก
https://www.aryuwatnursinghome.com/healthy-tips/8-เคล็ดลับการจัดบ้านให้พ/
ผู้สูงอายุกับเบาหวาน ดูแลอย่างไรห่างไกลโรค
โรคเบาหวานเป็นโรคที่พบได้ในคนทุกเพศ ทุกวัย และเป็นโรคที่พบบ่อยขึ้นในผู้สูงอายุ โดยพบว่าอุบัติการณ์การเกิดโรคเบาหวานในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 10.5-19.2 โดยพบมากกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60-69 ปี และพบในผู้สูงอายุที่เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
โรคเบาหวานเกิดจากอะไร?
โรคเบาหวานเกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคอาจเกิดได้จากกรรมพันธุ์ ความอ้วน การตั้งครรภ์ อายุที่มากขึ้น การรับประทานยาบางชนิด เบาหวานถือเป็นโรคเรื้อรังที่เมื่อเป็นแล้วจำเป็นต้องได้รับการดูแลและรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต อีกทั้งยังทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ซึ่งมีผลร้ายแรงถึงชีวิตได้อีกด้วย
อ้างอิงเนื้อหาจาก
www.aryuwatnursinghome.com/healthy-tips/ผู้สูงอายุกับเบาหวาน-ดู/
4 ก.ค. 2566
โรคเบาหวานเกิดจากอะไร?
โรคเบาหวานเกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคอาจเกิดได้จากกรรมพันธุ์ ความอ้วน การตั้งครรภ์ อายุที่มากขึ้น การรับประทานยาบางชนิด เบาหวานถือเป็นโรคเรื้อรังที่เมื่อเป็นแล้วจำเป็นต้องได้รับการดูแลและรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต อีกทั้งยังทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ซึ่งมีผลร้ายแรงถึงชีวิตได้อีกด้วย
อ้างอิงเนื้อหาจาก
www.aryuwatnursinghome.com/healthy-tips/ผู้สูงอายุกับเบาหวาน-ดู/
เลี้ยงลูกอย่างไรในวันที่โลกที่เปลี่ยนไป แนวคิดสำหรับพ่อแม่
การเลี้ยงลูกยุคใหม่ พ่อแม่ควรมีหลักคิดการเลี้ยงลูกในเชิงบวก เพื่อพัฒนาทักษะการดำรงชีวิตด้านต่างๆให้สอดสอดคล้องกับยุคสมัย การเลี้ยงลูกในยุคนี้ เปลี่ยนแปลงเร็วมาก
สำหรับแนวคิดที่เหมาะสำหรับโลกสมันใหม่ เช่น หลักแนวคิดในการส่งเสริมด้านการเรียนของลูก หลักแนวคิดในการเรียนรู้ของลูกผ่านการเล่น หลักแนวคิดในการเข้าสังคม ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้นหลักแนวคิดเพื่อการเลี้ยงลูกให้ทันยุคสมัย จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพ่อแม่ยุคใหม่
อ้างอิงเนื้อหาจาก
beezab.com/การเลี้ยงลูกยุคใหม่/
4 ก.ค. 2566
สำหรับแนวคิดที่เหมาะสำหรับโลกสมันใหม่ เช่น หลักแนวคิดในการส่งเสริมด้านการเรียนของลูก หลักแนวคิดในการเรียนรู้ของลูกผ่านการเล่น หลักแนวคิดในการเข้าสังคม ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้นหลักแนวคิดเพื่อการเลี้ยงลูกให้ทันยุคสมัย จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพ่อแม่ยุคใหม่
อ้างอิงเนื้อหาจาก
beezab.com/การเลี้ยงลูกยุคใหม่/
5 เทคนิคเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับบ้าน
เรามักจะได้รับคำแนะนำในการเลือกเฟอร์นิเจอร์กันบ่อย ๆ ว่าเวลาเลือก ให้คิดถึงความเหมาะสมมากกว่าความสวยงาม ให้เลือกสไตล์และโครงสร้างที่เหมาะ สามารถใช้งานได้นานหลายปี นอกจากนั้นต้องพิจารณาดูรายละเอียด และคุณภาพให้ดีด้วย และนี่คือหลักการเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะสมและลงตัวกับบ้าน
1.โครงสร้าง : หากคุณต้องการเฟอร์นิเจอร์ที่ให้ความรู้สึกหนักและแข็งแรง ก็ให้หลีกเลี่ยงการเลือกพวกพาร์ติเคิลบอร์ด และพวกกรอบอลูมิเนียมน้ำหนักเบา รวมทั้งไม้ที่เป็นแท่ง ๆ กรอบเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้แข็งส่วนมากจะมีความทนทาน และเป็นมาตรฐาน แต่ต้องให้แน่ใจว่าชิ้นไม้นั้นต้องตอบโจทย์ในใจของคุณว่า คุณต้องการใช้งานมันนานแค่ไหน นอกจากกรอบหรือโครงแล้ว เบาะหรือที่นั่งก็ต้องดูโครงสร้างเช่นกัน ก่อนซื้อต้องลองนั่ง ไม่ว่าเฟอร์นิเจอร์จะดูสวยแค่ไหน แต่ถ้าใช้งานไม่สบาย ก็ไม่ควรเลือกมาใช้
2.เค้าโครงร่าง : ซึ่งหมายถึงรูปร่างโดยรวมของชิ้นเฟอร์นิเจอร์ ว่าเป็นรูปร่างที่ทันสมัย หรือแบบมาตรฐาน การเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านนั้น นับเป็นการลงทุนที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเรา ดังนั้น การเลือกโครงร่าง หรือรูปร่างโดยรวมของเฟอร์นิเจอร์นั้นเราต้องตัดสินใจว่าจะเลือกที่ชอบหรือเลือกที่การใช้งานยาวนาน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเลือกชิ้นงานที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสไตล์ แต่ให้คิดว่า เราชอบความทันสมัยหรือชอบรูปแบบทั่ว ๆ ไปเพราะมีทางเลือกให้เรามากมายในท้องตลาด
3.การเคลือบเฟอร์นิเจอร์ : การเลือกสีไม้ก็สำคัญเช่นกัน เฟอร์นิเจอร์ที่โชว์เนื้อไม้ ก็มีการนำวัสดุเคลือบที่แตกต่างกันมาใช้ เพื่อให้สามารถดูแลได้ง่าย อาจจะเป็นการทาสี หรือการเคลือบเงา ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ของผู้เลือก
4.เนื้อผ้า : เนื้อผ้าสีอ่อนมักจะเหมาะกับห้องนั่งเล่น ห้องโถง หรือห้องนอน แต่ทั้งนี้หากเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่เราใช้บ่อย เนื้อผ้าสีอ่อนอาจจะไม่เหมาะ อาจจะเลือกสีเข้มก็ได้
5.สิ่งที่ไม่คาดคิด : บางครั้งการเลือกเฟอร์นิเจอร์ ก็มีองค์ประกอบที่เราไม่คาดคิด เฟอร์นิเจอร์ที่เราชอบ อาจจะมีโครงสร้างที่แข็งแรงแล้ว มีรูปร่างที่ถูกใจ เนื้อผ้า เนื้อวัสดุ ลงตัว แต่กลับใช้งานไม่ค่อยสบาย เป็นต้น หรืออาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกใจ แต่ทั้งนี้ เราควรจะตระหนักว่า สไตล์ของตัวเรานั้น สามารถสะท้อนให้เห็นจากเฟอร์นิเจอร์ที่เราเลือกนั่นเอง
อ้างอิงเนื้อหาจาก
www.bconinterior.com/5-เทคนิคเลือกเฟอร์นิเจอร/
26 เม.ย. 2565
1.โครงสร้าง : หากคุณต้องการเฟอร์นิเจอร์ที่ให้ความรู้สึกหนักและแข็งแรง ก็ให้หลีกเลี่ยงการเลือกพวกพาร์ติเคิลบอร์ด และพวกกรอบอลูมิเนียมน้ำหนักเบา รวมทั้งไม้ที่เป็นแท่ง ๆ กรอบเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้แข็งส่วนมากจะมีความทนทาน และเป็นมาตรฐาน แต่ต้องให้แน่ใจว่าชิ้นไม้นั้นต้องตอบโจทย์ในใจของคุณว่า คุณต้องการใช้งานมันนานแค่ไหน นอกจากกรอบหรือโครงแล้ว เบาะหรือที่นั่งก็ต้องดูโครงสร้างเช่นกัน ก่อนซื้อต้องลองนั่ง ไม่ว่าเฟอร์นิเจอร์จะดูสวยแค่ไหน แต่ถ้าใช้งานไม่สบาย ก็ไม่ควรเลือกมาใช้
2.เค้าโครงร่าง : ซึ่งหมายถึงรูปร่างโดยรวมของชิ้นเฟอร์นิเจอร์ ว่าเป็นรูปร่างที่ทันสมัย หรือแบบมาตรฐาน การเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านนั้น นับเป็นการลงทุนที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเรา ดังนั้น การเลือกโครงร่าง หรือรูปร่างโดยรวมของเฟอร์นิเจอร์นั้นเราต้องตัดสินใจว่าจะเลือกที่ชอบหรือเลือกที่การใช้งานยาวนาน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเลือกชิ้นงานที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสไตล์ แต่ให้คิดว่า เราชอบความทันสมัยหรือชอบรูปแบบทั่ว ๆ ไปเพราะมีทางเลือกให้เรามากมายในท้องตลาด
3.การเคลือบเฟอร์นิเจอร์ : การเลือกสีไม้ก็สำคัญเช่นกัน เฟอร์นิเจอร์ที่โชว์เนื้อไม้ ก็มีการนำวัสดุเคลือบที่แตกต่างกันมาใช้ เพื่อให้สามารถดูแลได้ง่าย อาจจะเป็นการทาสี หรือการเคลือบเงา ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ของผู้เลือก
4.เนื้อผ้า : เนื้อผ้าสีอ่อนมักจะเหมาะกับห้องนั่งเล่น ห้องโถง หรือห้องนอน แต่ทั้งนี้หากเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่เราใช้บ่อย เนื้อผ้าสีอ่อนอาจจะไม่เหมาะ อาจจะเลือกสีเข้มก็ได้
5.สิ่งที่ไม่คาดคิด : บางครั้งการเลือกเฟอร์นิเจอร์ ก็มีองค์ประกอบที่เราไม่คาดคิด เฟอร์นิเจอร์ที่เราชอบ อาจจะมีโครงสร้างที่แข็งแรงแล้ว มีรูปร่างที่ถูกใจ เนื้อผ้า เนื้อวัสดุ ลงตัว แต่กลับใช้งานไม่ค่อยสบาย เป็นต้น หรืออาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกใจ แต่ทั้งนี้ เราควรจะตระหนักว่า สไตล์ของตัวเรานั้น สามารถสะท้อนให้เห็นจากเฟอร์นิเจอร์ที่เราเลือกนั่นเอง
อ้างอิงเนื้อหาจาก
www.bconinterior.com/5-เทคนิคเลือกเฟอร์นิเจอร/
12 สีที่ใช้ตกแต่งภายในได้อย่างดีเยี่ยม สวยงาม
สีเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการแต่งห้อง การเลือกสีที่เหมาะสมมาใช้สำหรับการทาผนังห้องนั้น จะทำให้พื้นที่ของเราดูโดดเด่นมีสไตล์ ไม่น่าเบื่อ และอยากแนะนำ 12 สีต่อไปนี้ซึ่งเป็นสีที่นักออกแบบภายในบอกว่าสามารถนำมาให้ได้อย่างดีเยี่ยม
1.สีเขียวโอลิเวอร์ สีนี้เป็นสีที่นักออกแบบบอกว่า สามารถเข้ากันได้กับสีอื่นทุก ๆ สี ช่วยสร้างความสมดุลและความน่าสนใจให้กับทุกห้อง ถือว่าเป็นสีที่สามารถใช้ได้กับทุก ๆ พื้นที่ในบ้าน
2.สีส้มอิฐ นับว่าเป็นสีที่ช่วยสร้างความรู้สึกอบอุ่นให้กับห้องได้มาก นอกจากนี้ สีอิฐ ยังมีกลิ่นไอของความเป็นชนบท และยังเป็นสีที่สามารถเข้ากับของตกแต่งบ้านได้หลากหลายสไตล์
3.สีม่วง หากคุณต้องการความคลาสสิก ไม่น่าเบื่อ สีม่วงนับว่าเป็นทางเลือกที่ดี สีนี้ นำมาใช้เพื่อให้ความแตกต่างอย่างมีสไตล์ได้ดีมาก
4.สีดำ หรือขาว สองสีนี้เป็นสีคู่ตรงข้าม ที่นิยมนำมาใช้กันในการออกแบบ ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้กับการตกแต่งภายในทุกห้อง ทุกพื้นที่
5.สีน้ำเงินอมเขียว เป็นสีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความแปลกใหม่ นับว่าเป็นเฉดสีที่เข้ากันได้กับสีโทนขาว หรือสีทอง สามารถจะใช้สีนี้ทาผนัง หรือใช้เป็นสีของตู้เก็บของก็ได้เช่นกัน
6.สีเขียวอ่อน เป็นสีที่เพิ่มชีวิตชีวาให้กับทุกห้อง เข้ากับการตกแต่งในทุกสไตล์
7.สีกรมท่า หากต้องการโทนสีเข้มในบางพื้นที่ของบ้าน หรือห้องสีน้ำเงินกรมท่านั้นเป็นทางเลือกที่เหมาะเพราะให้ความรู้สึกลึกลับน่าค้นหา
8.สีเทาเข้ม เป็นสีโทนเข้ม ที่ให้ความรู้สึกถึงการยินดีต้อนรับ สีเทาแม้จะเป็นสีเข้ม แต่ก็เป็นโทนสีธรรมชาติ ที่สามารถเข้ากับสีอื่น ๆ ได้ง่าย
9.สีเทาอ่อน เป็นโทรสีธรรมชาติ ที่ให้ความสว่าง เป็นโทนสีคลาสสิกที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น สร้างความสวยงามให้กับทุกห้องได้
10.สีเหลือง นอกจากจะเป็นสีที่กระตุ้นพลังงานแล้ว ยังให้ความสดใสและสร้างสรรค์ด้วย สีเหลืองช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวา สามารถนำมาใช้ได้ ทั้งห้องโถงขนาดใหญ่ และพื้นที่ขนาดเล็ก และทำให้ห้องดูแพงอีกด้วย
11.สีเนื้อ เป็นอีกสีหนึ่งที่ใช้ง่าย นอกจากสีขาว ดำ เทา และสีเบจ แต่นักออกแบบจะแนะนำว่า สีเนื้อไม่ควรใช้เป็นสีแบคกราวน์ แต่ควรใช้เพื่อเน้นจุดเด่นมากกว่า
12.สีขาว เป็นสียอดนิยม เพราะให้ความสว่าง สดใส สามารถตกแต่งได้ง่าย เข้ากับโทนสีทุกโทน และเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งอุปกรณ์ตกแต่งบ้านในทุกรูปแบบ
อ้างอิงเนื้อหาจาก
www.bconinterior.com/12-สีที่ใช้ตกแต่งภายในได/
26 เม.ย. 2565
1.สีเขียวโอลิเวอร์ สีนี้เป็นสีที่นักออกแบบบอกว่า สามารถเข้ากันได้กับสีอื่นทุก ๆ สี ช่วยสร้างความสมดุลและความน่าสนใจให้กับทุกห้อง ถือว่าเป็นสีที่สามารถใช้ได้กับทุก ๆ พื้นที่ในบ้าน
2.สีส้มอิฐ นับว่าเป็นสีที่ช่วยสร้างความรู้สึกอบอุ่นให้กับห้องได้มาก นอกจากนี้ สีอิฐ ยังมีกลิ่นไอของความเป็นชนบท และยังเป็นสีที่สามารถเข้ากับของตกแต่งบ้านได้หลากหลายสไตล์
3.สีม่วง หากคุณต้องการความคลาสสิก ไม่น่าเบื่อ สีม่วงนับว่าเป็นทางเลือกที่ดี สีนี้ นำมาใช้เพื่อให้ความแตกต่างอย่างมีสไตล์ได้ดีมาก
4.สีดำ หรือขาว สองสีนี้เป็นสีคู่ตรงข้าม ที่นิยมนำมาใช้กันในการออกแบบ ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้กับการตกแต่งภายในทุกห้อง ทุกพื้นที่
5.สีน้ำเงินอมเขียว เป็นสีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความแปลกใหม่ นับว่าเป็นเฉดสีที่เข้ากันได้กับสีโทนขาว หรือสีทอง สามารถจะใช้สีนี้ทาผนัง หรือใช้เป็นสีของตู้เก็บของก็ได้เช่นกัน
6.สีเขียวอ่อน เป็นสีที่เพิ่มชีวิตชีวาให้กับทุกห้อง เข้ากับการตกแต่งในทุกสไตล์
7.สีกรมท่า หากต้องการโทนสีเข้มในบางพื้นที่ของบ้าน หรือห้องสีน้ำเงินกรมท่านั้นเป็นทางเลือกที่เหมาะเพราะให้ความรู้สึกลึกลับน่าค้นหา
8.สีเทาเข้ม เป็นสีโทนเข้ม ที่ให้ความรู้สึกถึงการยินดีต้อนรับ สีเทาแม้จะเป็นสีเข้ม แต่ก็เป็นโทนสีธรรมชาติ ที่สามารถเข้ากับสีอื่น ๆ ได้ง่าย
9.สีเทาอ่อน เป็นโทรสีธรรมชาติ ที่ให้ความสว่าง เป็นโทนสีคลาสสิกที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น สร้างความสวยงามให้กับทุกห้องได้
10.สีเหลือง นอกจากจะเป็นสีที่กระตุ้นพลังงานแล้ว ยังให้ความสดใสและสร้างสรรค์ด้วย สีเหลืองช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวา สามารถนำมาใช้ได้ ทั้งห้องโถงขนาดใหญ่ และพื้นที่ขนาดเล็ก และทำให้ห้องดูแพงอีกด้วย
11.สีเนื้อ เป็นอีกสีหนึ่งที่ใช้ง่าย นอกจากสีขาว ดำ เทา และสีเบจ แต่นักออกแบบจะแนะนำว่า สีเนื้อไม่ควรใช้เป็นสีแบคกราวน์ แต่ควรใช้เพื่อเน้นจุดเด่นมากกว่า
12.สีขาว เป็นสียอดนิยม เพราะให้ความสว่าง สดใส สามารถตกแต่งได้ง่าย เข้ากับโทนสีทุกโทน และเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งอุปกรณ์ตกแต่งบ้านในทุกรูปแบบ
อ้างอิงเนื้อหาจาก
www.bconinterior.com/12-สีที่ใช้ตกแต่งภายในได/
6 วิธีรักษาพื้นไม้เนื้อแข็ง ทำอย่างไรให้คงทน
พื้นไม้เนื้อแข็งเป็นสิ่งที่ทำให้บ้านดูสวยงามดูเป็นธรรมชาติ แต่ความสวยงามนั้น ต้องแลกมาด้วยราคาแพง อีกทั้งการดูแลรักษาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกด้วย ปัญหาจากการใช้ไม้เนื้อแข็งมาทำพื้น มีทั้งเรื่องของรอยขีดข่วน สีซีดจาง การดูดความชื้น การโก่งตัว บางครั้งก็มีปัญหาเชื้อราด้วย แต่หากเรารู้เทคนิคในการดูแล ปัญหาต่าง ๆ ก็สามารถป้องกันได้
1.รักษาอุณภูมิให้เย็น แม้ว่าการปิดแอร์ จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าให้เราได้ แต่การปล่อยให้อุณภูมิในห้องร้อนเกินไป โดยเฉพาะในวันที่มีอากาศร้อนมาก ๆ จะทำให้พื้นไม้แข็งเสียหาย ดังนั้น ในวันที่มีอากาศร้อนจัด การเปิดแอร์ จะช่วยให้ยืดอายุให้กับพื้นไม้เนื้อแข็งได้
2.อย่าปล่อยให้มีความชื้น หากคุณอยู่ในที่ซึ่งมีสภาพอากาศชื้น ทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยรักษาพื้นไม้เนื้อแข็งได้ก็คือการใช้เครื่องดูดความชื้น เพื่อลดปริมาณความชื้นในอากาศ
3.อย่าให้แสงแดดส่องพื้นไม้เนื้อแข็งโดยตรง พื้นไม้บางชนิดก็ทนต่อแสงแดด แต่บางชนิดก็ไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้นการป้องกันด้วยการปิดม่านหน้าต่าง ไม่ให้แสงแดดส่องตรงก็จะช่วยได้
4.เปลี่ยนตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์บ้าง การเปลี่ยนตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์บ้างนั้น ไม่เพียงดีในแง่การไหลเวียนของพลังตามหลักฮวงจุ้ย แต่ยังดีต่อพื้นไม้ด้วย การเปลี่ยนตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ จะทำให้พื้นไม้ได้มีโอกาสสัมผัสอากาศ สัมผัสแสงอย่างทั่วถึง
5.ไม่ควรใส่รองเท้าเดินบนพื้นไม้ เพราะรองเท้านั้น จะนำเอาฝุ่น และสิ่งสกปรกเข้ามาในบ้าน และยังอาจจะทำให้พื้นไม้เป็นรอยขูดขีด ทั้งจากพื้นรองเท้า และจากเศษหินเศษอิฐที่อาจติดมากับรองเท้า
6.ซ่อมแซมพื้นเสียใหม่ หากพื้นไม้เนื้อแข็ง ถูกทำให้เสียหายในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา เป็นการยากที่จะซ่อมแซมด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้วก็ต้องใช้ช่างผู้ชำนาญการเข้ามาแก้ไข แต่ควรรอให้หมดช่วงฤดูกาลที่อากาศร้อนจัด แดดจัดเสียก่อน
อ้างอิงเนื้อหาจาก
www.bconinterior.com/6-วิธีรักษาพื้นไม้เนื้อแ/
26 เม.ย. 2565
1.รักษาอุณภูมิให้เย็น แม้ว่าการปิดแอร์ จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าให้เราได้ แต่การปล่อยให้อุณภูมิในห้องร้อนเกินไป โดยเฉพาะในวันที่มีอากาศร้อนมาก ๆ จะทำให้พื้นไม้แข็งเสียหาย ดังนั้น ในวันที่มีอากาศร้อนจัด การเปิดแอร์ จะช่วยให้ยืดอายุให้กับพื้นไม้เนื้อแข็งได้
2.อย่าปล่อยให้มีความชื้น หากคุณอยู่ในที่ซึ่งมีสภาพอากาศชื้น ทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยรักษาพื้นไม้เนื้อแข็งได้ก็คือการใช้เครื่องดูดความชื้น เพื่อลดปริมาณความชื้นในอากาศ
3.อย่าให้แสงแดดส่องพื้นไม้เนื้อแข็งโดยตรง พื้นไม้บางชนิดก็ทนต่อแสงแดด แต่บางชนิดก็ไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้นการป้องกันด้วยการปิดม่านหน้าต่าง ไม่ให้แสงแดดส่องตรงก็จะช่วยได้
4.เปลี่ยนตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์บ้าง การเปลี่ยนตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์บ้างนั้น ไม่เพียงดีในแง่การไหลเวียนของพลังตามหลักฮวงจุ้ย แต่ยังดีต่อพื้นไม้ด้วย การเปลี่ยนตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ จะทำให้พื้นไม้ได้มีโอกาสสัมผัสอากาศ สัมผัสแสงอย่างทั่วถึง
5.ไม่ควรใส่รองเท้าเดินบนพื้นไม้ เพราะรองเท้านั้น จะนำเอาฝุ่น และสิ่งสกปรกเข้ามาในบ้าน และยังอาจจะทำให้พื้นไม้เป็นรอยขูดขีด ทั้งจากพื้นรองเท้า และจากเศษหินเศษอิฐที่อาจติดมากับรองเท้า
6.ซ่อมแซมพื้นเสียใหม่ หากพื้นไม้เนื้อแข็ง ถูกทำให้เสียหายในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา เป็นการยากที่จะซ่อมแซมด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้วก็ต้องใช้ช่างผู้ชำนาญการเข้ามาแก้ไข แต่ควรรอให้หมดช่วงฤดูกาลที่อากาศร้อนจัด แดดจัดเสียก่อน
อ้างอิงเนื้อหาจาก
www.bconinterior.com/6-วิธีรักษาพื้นไม้เนื้อแ/
ติดต่อเรา
71/2-13 โครงการโอโซนพลาซ่า ห้อง H1C,H2C ถนนคู้บอน แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงทพฯ 10230